หนังสือพิมพ์ Transport Journal ฉบับที่ 801 • ประจำวันที่ 16 - 31 มีนาคม 2559 |
ตลาดประกันภัยรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์
150,000 คัน คักคักรับเปิด AEC บริษัทประกันวินาศภัยสบช่อง โดดชิงส่วนแบ่งตลาด
เชื่อบริการด้านโลจิสติกส์มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ด้าน“วิริยะประกันภัย” เสือปืนไว
ตั้งทีมโลจิสติกส์ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ หวังขยายตลาดรับประกันทั้งตัวรถและสินค้า
ด้าน”นำสินประกันภัย”ไม่น้อยหน้า เดินหน้าเพิ่มพอร์ตรถบรรทุกต่อเนื่อง ชูจุดแข็งศูนย์บริการพร้อมรองรับทั่วประเทศ
ขณะที่เอ็ม เอส ไอ จี เร่งขยายศูนย์บริการเตรียมรับ AEC เช่นกัน
จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC) ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากจะส่งผลต่อการขยายตัวในส่วนของการค้าชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างมาเลเซีย เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา แล้ว
ธุรกิจที่จะได้รับอานิสงศ์ตามมาคือกลุ่มธุรกิจประกันวินาศภัย ทั้งในส่วนของการประกันภัยรถบรรทุก
ซึ่งปัจจุบันมีการทำประกันภัยอยู่ประมาณ 150,000 คัน และส่วนที่เป็นประกันภัย
ด้านความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้า (Carrier's Liability Insurance Policy) ซึ่งจะเป็นประกันภัยหากเกิดความเสียหายระหว่างขนส่งสินค้า นอกเหนือไปจากการประกันภัยตัวรถบรรทุก
ซึ่งการเปิด AEC จะทำให้ตลาดกลุ่มนี้เติบโตขึ้นอีกมากตามการเติบโตของโลจิสติกส์
ซึ่งประเทศไทยนับว่าได้เปรียบในด้านนี้
เพราะเป็นศูนย์กลางมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 ประเทศ
“วิริยะ”ตั้งทีมโลจิสติกส์รับ AEC
นายกฤษณ์ หิญชีระนันท์
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บมจ.วิริยะ ประกันภัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันวิริยะประกันภัย
ถือว่าเป็นบริษัทผู้นำตลาดประกันภัยรถใหญ่รถบรรทุก มีจำนวนลูกค้าอยู่ประมาณ 50,000 คัน
คิดเป็นเบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการประกันภัยตัวรถ
เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยคันละ 90,000 บาท
และจากการที่มีการขนส่งสินค้ามากขึ้นภายหลังการเปิด AEC ทางบริษัทฯ
จึงได้ขยายตลาดในส่วนของการประกันภัยความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้ามากขึ้น หลังจากที่ในปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันภัยดังกล่าวประมาณ
240
ล้านบาทเท่านั้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของจำนวนรถบรรทุกทั้งหมด
สำหรับการบุกตลาดประกันภัยด้านโลจิสติกส์ เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการขยายตลาดของบริษัทฯ
โดยในปีที่ผ่านมา ได้ตั้งทีมโลจิสติกส์ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ
ซึ่งทีมดังกล่าวเป็นการนำร่อง โดยจะประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ
และที่สาขาอุดรธานี เพื่อทำหน้าที่ให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่ต้องการขยายความคุ้มครองไปนอกอาณาเขต
ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่ขอขยายไปที่สปป.ลาว โดยมีรถขนส่งสินค้าจากไทยวิ่งข้ามไปประมาณ
100
คันต่อเดือน
“สำหรับการบุกตลาดทางด้านโลจิสติกส์
เป็นการต่อยอดจากลูกค้าเดิมที่ทำประกันภัยรถบรรทุกที่อยู่ประมาณ 50,000 คัน
ให้เข้ามาทำประกันตัวสินค้าเพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของโลจิสติกส์นั้น
ทางวิริยะฯไม่ได้มองแค่รถบรรทุกใหญ่เท่านั้น แต่จะลงไปจับตลาดรถขนาดเล็กที่มาขนถ่ายสินค้าต่อไปอีกทอดด้วย
แน่นอนว่า นโยบายด้านประกันภัยโลจิสติกส์ จะสอดคล้องกับการเปิดเออีซี
ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มไปแล้วในสปป.ลาว โดยทำสัญญาร่วมกับเอแอลจี ลาว
เพื่อให้บริการและรับการคุ้มครองลูกค้าร่วมกัน ส่วนในกัมพูชาเราทำสัญญากับ เอเชีย
อินชัวรันส์
ส่วนในพม่าอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากยังติดในข้อกฎเกณฑ์ที่ยังไม่เปิดโอกาสให้มีการขยายการประกันภัยเข้าไปมากนัก”
“นำสิน”เล็งเพิ่มแชร์รถใหญ่5%
นายเลิศชาย ประภาศิริรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท นำสินประกันภัย
จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายการทำตลาดของนำสินในปีนี้
ยังคงเน้นขยายตลาดประกันรถรถใหญ่เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการล้อไปกับการเปิดเออีซีด้วย
อีกทั้ง ตลาดประกันรถใหญ่ เป็นตลาดที่บริษัทมีความชำนาญและมีจุดแข็งในการรับประกันมาแต่ดั้งเดิมอยู่แล้ว
โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตงานรถใหญ่อยู่ประมาณ 80%
แน่นอนว่า จากการเปิดเออีซี งานด้านโลจิสติกส์น่าจะขยายตัวได้อีกมาก จึงน่าจะทำให้บริษัทสามารถขยายเพิ่มสัดส่วนแบ่งการตลาดประกันภัยที่เกี่ยวข้องได้เช่นเดียวกัน
โดยในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในการรับประกันรถบรรทุกขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่
6-7% เพิ่มขึ้นมาเป็น 10-13% หรือ เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 5% จากปัจจุบันในอุตสาหกรรมมีรถใหญ่ที่ทำประกันภัยอยู่ประมาณ
150,000 คัน
“การขยายตลาดจะต้องสอดคล้องกับการให้บริการด้วย
เพราะถือเป็นจุดสำคัญในการรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะปัจจุบันบริษัทมีอู่รถใหญ่ถึง
300 อู่ และอู่รถเล็กมีถึง 200 อู่ นอกจากนี้ ในส่วนของการบริการด้านสินไหม
จะต้องมีความพร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่อุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่คุมราคา
หัวหน้าเคลม หรือฝ่ายพิจารณาสินไหม ซึ่งทุกสาขาจะมี 4 ฝ่ายนี้ประจำอยู่ในจุดนั้นตลอด
ส่วนเจ้าหน้าที่สำรวจภัย จะใช้พนักงานงานของบริษัท โดยไม่มีการจ้างเอ้าท์ซอร์สหรือบุคคลภายนอกมาทำเคลม
เนื่องจากสามารถควบคุมคุณภาพและค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่าการใช้เอ้าทซอร์ส”
นายเลิศชาย กล่าวอีกว่า ในส่วนการเปิดสาขาเพื่อรองรับเออีซีนั้น
จะเน้นไปที่จังหวัดที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
และจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งจะเป็นการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศในเออีซีได้ โดยในปีที่แล้วได้เปิดสาขาเชียงราย
นครพนม และมุกดาหาร ซึ่งเป็นสาขาที่สามารถรองรับการขยายงานไปประเทศเพื่อนบ้านได้ทันที
ขณะที่ในปีนี้ มีแผนจะเปิดอีก 3 สาขา เพื่อให้ครบ 31 สาขา
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยมองไว้ที่แม่สอด
ซึ่งสามารถรองรับการขยายตลาดไปยังพม่าได้ รวมถึงจังหวัดแพร่
สำหรับให้บริการลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียง
เพื่อช่วยเสริมบริการของสาขาพิษณุโลกกับเชียงใหม่ ซึ่งค่อนข้างห่างกันพอสมควร
และสระแก้ว หรือกบิลบุรี
ที่จะสามารถรองรับการให้บริการลูกค้าฝั่งชายแดนกัมพูชาได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯมองว่าจำนวนสาขา 31 แห่ง
น่าจะเพียงพอสำหรับการให้บริการและการขยายตลาดในอีก 3-4 ปีข้างหน้า
MSIGผนึกพันมิตรบริการต่างแดน
นายสุรชัย รัถยาวิศิษฎ์
ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายรับประกันภัยและสินไหม บมจ. เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย)
กล่าวถึงการขยายตลาดประกันภัยขนส่งว่า บริษัทฯยังมองถึงโอกาสของการขยายตัวของประกันภัยด้านการจนส่งที่จะได้รับอานิสงส์จากการเปิดเออีซีด้วยเช่นกัน
ทางบริษัทฯจึงได้บุกตลาดประกันภัยรถยนต์เขิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
และทำให้เบี้ยประกันภัยจากลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
พร้อมกันนี้ บริษัทฯได้ขยายบริการให้สอดคล้องกับการขยายตลาดด้วย โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย
ซึ่งขณะนี้ในด้านการให้บริการลูกค้าเพื่อรองรับเออีซีนั้น บริษัทฯมีการขยายความคุ้มครองไปถึงประเทศสปป.ลาว
โดยผู้เอาประกันภัยสามารถแจ้งขอขยายความคุ้มครองเพิ่มเติมในพื้นที่ลาวจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ฉบับเดิม
และซื้อพรบ. เพิ่มเติมจาก MSIG ลาว และหากเกิดอุบัติเหตุ
สามารถใช้บริการจากเครือข่าย MSIG ลาวได้เลย ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
กำลังศึกษาความเป็นไปได้อยู่
“การขยายความคุ้มครองด้านการประกันภัยภาคขนส่งไปยังกลุ่มประเทศเออีซีของเอ็ม
เอส ไอ จี ค่อนข้างได้เปรียบคู่แข็งพอสมควร
เพราะเรามีบริษัทในเครือที่ดำเนินงานอยู่ในแต่ละประเทศอยู่แล้ว อย่างเช่น สปป.ลาว
เร็วๆนี้จะมีการร่วมมือกับ เอ็ม เอส ไอ จี มาเลเซีย
เพื่อร่วมให้บริการลูกค้าระหว่างกัน ส่วนในเมียนมา อยู่ระหว่างการพิจารณาหาพันธมิตร
เนื่องจากยังไม่สามารถเข้าไปตั้งบริษัทประกันภัยได้ ขณะเดียวกัน
รถขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยสามารถเข้าไปลึกสุดจากชายแดนแค่เพียง 10 กม.เท่านั้น
จากนั้นจะต้องขนส่งด้วยรถยนต์ของทางฝั่งเมียนมา
แต่ในเงื่อนไขการประกันภัยสินค้าจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อสินค้าถึงจุดหมาย
ดังนั้นในส่วนนี้จึงยังเป็นปัญหาและอุปสรรคของการให้บริการพอสมควร”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น