วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

นิตยา พิริยะธรรมวงศ์ สานภารกิจควบ“สามัคคี-ชับบ์” สู่เป้าหมายท็อป5ประกันภัยไทย




นับตั้งแต่ต้นปี 2557 ที่ผ่านมา บมจ.สามัคคีประกันภัย เป็นอีกหนึ่งบริษัทประกันภัยไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ เอซ ไอเอ็นเอ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง จำกัด หรือเอซ กรุ๊ป (ACE Group) ได้เข้ามาซื้อหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งผลให้มีหุ้นในมือสัดส่วนประมาณ 94% และล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2559 ที่ผ่านมา เอซ กรุ๊ป ได้เข้าซื้อ Chubb Corporation บริษัทประกันภัยทรัพย์สินเชิงพาณิชย์และประกันภัยเบ็ดเตล็ดยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ อเมริกา พร้อมกับประกาศใช้แบรนด์ “CHUBB” เหมือนกันทั่วโลก

          นิตยา พิริยะธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สามัคคีประกันภัย บอกถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของสามัคคีประกันภัยภายหลังจากนี้ ว่า ภายหลังจากเอซ และชับบ์ ควบรวมกันเรียบร้อย จะส่งผลให้ในประเทศไทยมีบริษัทลูก 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เอซไอเอ็นเอ  โอเวอร์ซี และ บมจ.สามัคคีประกันภัย และบริษัทประกันชีวิต 1 บริษัท คือ เอซ ไลฟ์   ซึ่งในอนาคตทั้ง 3 บริษัทจะเปลี่ยนชื่อไปใช้แบรนด์ CHUBB ทั้งหมด

              ส่วนในอนาคต ในฝั่งธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งมีอยู่ 2 บริษัท จะทำการควบรวมเป็นบริษัทเดียวกันหรือไม่นั้น คงต้องรอความชัดเจนจากบริษัทแม่ แต่อย่างไรก็ดี ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า บมจ.สามัคคีประกันภัย จะนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแน่นอน เนื่องจากบริษัทแม่มองว่า ชับบ์ ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันในแง่ของเงินทุน ทางบริษัทฯแม่ก็มีความแข็งแกร่ง จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องระดมเงินผ่านตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก ดังนั้น ทางบริษัทแม่จึงเห็นสมควรให้บริษัทสามัคคีประกันภัยออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอออกจากตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับทำการเสนอขอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นรายย่อย หลังจากได้แจ้งให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ในขณะที่ความคาดหวังในแง่ของความเติบโตนั้น นิตยา บอกว่า ในส่วนของการขยายธุรกิจ ทางบริษัทฯแม่ต้องการให้ทั้งสองบริษัทฯด้านการประกันวินาศภัยในไทย ผนึกกำลังร่วมกันเพื่อขายธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายขึ้นไปอยู่ในท็อป 5 ให้ได้ ภายในระยะเวลาไม่นานหลังจากนี้ ซึ่งในปัจจุบันสามัคคีประกันภัยอยู่ในอันดับ 11 และชับบ์ อยู่อันดับ 13 โดยมีมาร์เก็ตแชร์รวมกันอยู่ที่ประมาณ 5%
“หากมองในแง่ของความเติบโต แน่นอนว่าเราต้องเติบโตให้ได้อยู่แล้ว โดยเป้าหมายคือการเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งอุตสาหกรรมมองว่า ปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 5-7% เพราะปัจจุบันเราไม่ได้เป็นบริษัทเดียว แต่ยังมีบริษัทอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิค 10 ประเทศ โดยนโยบายก็จะเป็นนโยบายรายภูมิภาค อย่างไรก็ดี ไม่ว่าตลาดรวมจะเป็นอย่างไร เป้าหมายอันดับแรกของสามัคคีประกันภัย ภายใต้ชับบ์กรุ๊ป จะต้องเติบโตมากกว่าตลาดแน่นอน ปีที่แล้วเราก็โต 6% ซึ่งก็สูงกว่าตลาดประกันวินาศภัยโดยรวม”
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2558 ที่ผ่านมา นิตยา บอกว่า ในด้านผลิตภัณฑ์หลักอย่างประกันอุบัติเหตุและประกันสุขภาพสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ประกันรถยนต์มีอัตราการเติบโตติดลบ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภาพรวมในตลาดประกันวินาศภัย  ประกอบกับบริษัทฯไม่มีนโยบายแข่งขันด้านราคา และเน้นกำไรจากการรับประกันภัย ซึ่งประกันภัยรถยนต์คาดหวังกำไรไม่ได้ จึงคงสัดส่วนประกันภัยรถยนต์ไว้ที่ประมาณ 25-30%  ซึ่งหากเทียบกับบริษัทประกันภัยอื่นที่ขายประกันรถยนต์ผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ส่วนใหญ่จะมีพอร์ตประกันรถยนต์สูงถึง 50-60% 
โดยผลการดำเนินงานปี 2558 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 850 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 894 ล้านบาท  โดยมีเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ 4,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% มีค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยรวม 3,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%  มีกำไรจากการรับประกันภัยรวม 788 ล้านบาท ลดลง 6% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศ  และปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ  ขณะที่ด้านการลงทุน มีรายได้จากการลงทุนจำนวน 264 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย
ทั้งนี้ หากมองถึงความแข็งแกร่งภายหลังจากการควบรวมดังกล่าว การที่บริษัทแม่เลือกใช้แบรนด์ CHUBB ทั่วโลก เพราะมองว่า ชับบ์เป็นบริษัทประกันภัยทรัพย์สินและประกันภัยเบ็ดเตล็ด ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก CHUBB ดำเนินธุรกิจใน 54 ประเทศ ให้บริการด้านการประกันภัยทรัพย์สินและการประกันภัยเบ็ดเตล็ด ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันสุขภาพ ตลอดจนให้บริการประกันภัยต่อ และประกันชีวิตแก่ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม มีความโดดเด่นในเรื่องผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่หลากหลายและแตกต่าง  ช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย   มีเสถียรภาพทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่ง มีความเชี่ยวชาญในการรับประกันภัย และการบริการเรียกร้องสินไหมทดแทนในหลายประเทศทั่วโลก 
 จุดแข็งของชับบ์ประเทศไทย คือ ความชำนาญด้านเทเลมาร์เก็ตติ้งและไดเร็คลูกค้ารายย่อย ประกันทรัพย์สินขนาดใหญ่  แต่ไม่มีสาขาเพราะอยู่ในฐานะเป็นสาขาต่างประเทศ  ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถเปิดสาขาได้  ขณะที่สามัคคีประกันภัย มีช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์  มีสาขา 16 สาขา  เรียกได้ว่าทั้ง 2 บริษัทมีจุดเด่นและความเชี่ยวชาญที่ไม่เหมือนกัน เป็นการเอาสิ่งดีๆของ 2 บ้านมารรวมกัน  มาเติมเต็มธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง  มีช่องทางการจำหน่ายครบถ้วน ทั้งแบงก์แอสชัวรันส์  ตัวแทน สาขา นายหน้า และเทเลมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งฐานลูกค้าแบงก์แอสชัวรันส์มากมายหลายล้านรายเป็นช่องทางสร้างให้ชื่อ CHUBB กระจายไปได้เร็ว
นอกจากการโฟกัสทางด้านขยายธุรกิจแล้ว นิตยา ยังบอกด้วยว่า ทางบริษัทแม่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่อง CSR ในทุกประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสามัคคีประกันภัยที่มุ่งดูแลชุมชนท้องถิ่น และได้ทำอย่างจริงจังในปีที่ผ่านมา โดยกำหนดงบประมาณในการทำ CSR จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดย 85% เป็นด้านการศึกษาและสาธารณสุข ส่วนอีก 15% ที่เหลือกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินต่างๆ เช่น น้ำท่วมใหญ่หรือแผ่นดินไหวที่เนปาล เป็นต้น
โดย 85% ในปี 2558 บริษัทฯมีโครงการ Hand in Hand รวมพลัง สามัคคีโครงการก่อสร้างอาคารสุขศาลา อาคารอเนกประสงค์ อาคารเด็กเล็ก และอาคารห้องสมุดให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามลคงเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ นอกจากนี้ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้บริจาคเงินเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาให้กับโรงเรียนพระปริยัติธรรมทางภาคเหนือ  60 โรงเรียน ในพื้นที่ 5 จังหวัดได้แก่ น่าน  พะเยา  แพร่  เชียงรายและเชียงใหม่  ซึ่งเป็นโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ให้การศึกษากับพระและสามเณรที่ครอบครัวฐานะยากจน และบางส่วนมาจากครอบครัวแตกแยกอีกด้วย 
                การจัดงบประมาณด้านกิจกรรม CSR ในแต่ละปีขึ้นอยู่กับผลกำไร ปกติจะอยู่ประมาณ 6-7 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะอยู่ระดับนี้ ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่สูงมากทีเดียวในการทำกิจกรรม CSR ทั้งที่เป็นบริษัทที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งที่ผ่านมาเรามุ่งไปที่การให้โอกาสกับผู้ด้อยโอกาส อย่างเช่นโรงเรียนตชด.บ้านป่าหมาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เราได้มอบอาคารสุขศาลาล่าสุด เป็นอีกหนึ่งในพื้นที่ชุมชนภายในท้องถิ่นไทย ที่ยังต้องการความช่วยเหลือ
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Disqus Shortname

Comments system