สหภาพเมียนมา
เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวของประชากรน้อยที่สุดในอาเซียน
แต่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อาทิ ป่าไม้ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ อัญมณี
และแร่ธาตุต่าง ๆ
อีกทั้งยังมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเพาะปลูกในภาคเกษตรกรรม
และมีแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีความหลากหลาย นอกจากนี้
เมียนมายังมีประชากรจำนวนมากกว่า 60 ล้านคน
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงานทำให้มีค่าจ้างแรงงานต่ำกว่าประเทศอื่นใน
ภูมิภาคเดียวกัน
ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้มีการลงทุนจากต่างประเทศและเปิด
เสรีด้านการลงทุนเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต
จึงทำให้เมียนมาเป็นประเทศที่มีศักยภาพและได้รับความสนใจในการลงทุนจากต่าง
ชาติเป็นจำนวนมาก
สำหรับธุรกิจ
ของไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมาส่วนใหญ่ยังเป็นการลงทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติ
ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะแก๊สธรรมชาติและเหมืองแร่
ขณะที่การลงทุนในสาขาอื่นยังมีสัดส่วนไม่มากนัก
ซึ่งโอกาสการลงทุนในเมียนมายังมีได้อีกหลายสาขาอุตสาหกรรม เช่น
การแปรรูปสินค้าเกษตรและประมง เฟอร์นิเจอร์
ก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โลจิสติกส์ สิ่งทอ
และธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น
การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อม (SWOT) ของสหภาพเมียนมา
จุดแข็ง (Strengths)
-
มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากและมีคุณภาพ เช่น ป่าไม้ น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ
อัญมณี และแร่ธาตุต่าง ๆ
รวมถึงทรัพยากรทางทะเลอีกทั้งยังมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสม
สำหรับการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร
ทำให้เมียนมามีความได้เปรียบด้านปัจจัยการผลิต
-
ที่ตั้งภูมิศาสตร์สามารถเชื่อมโยงการขนส่งกับต่างประเทศได้สะดวกมีเส้นทาง
คมนาคมทางบกเชื่อมต่อกับจีน อินเดีย ไทย และ สปป.ลาว
ทำให้เมียนมามีความได้เปรียบในการติดต่อการค้าและการขนส่งสินค้าผ่านแดน
ระหว่างประเทศข้างต้น
ซึ่งไทยก็สามารถใช้จุดแข็งดังกล่าวของเมียนมาเป็นประตูสู่เอเซียใต้ได้เช่น
กัน
-
เมียนมามีแรงงานจำนวนมากและยังมีค่าจ้างแรงงานต่ำ
จึงเหมาะสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้นหรือใช้เป็นฐาน
การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นต่อไป
จุดอ่อน (Weaknesses)
-
เมียนมายังขาดความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน อาทิ ระบบไฟฟ้า โทรคมนาคม
และการคมนาคมขนส่ง
ซึ่งนอกจากจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศและรองรับการเติบโตใน
อนาคตแล้ว ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐานเพียงพออีกด้วย
ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการขยายการลงทุน และส่งผลต่อต้นทุนประกอบการด้วย
-
แรงงานชาวเมียนมาส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ
ยังขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะฝีมือ
รวมถึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ
-
เมียนมาอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการเงินภายในประเทศ
ซึ่งขณะนี้ยังคงต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ
และฟองสบู่ราคาสินทรัพย์
- ชาวเมียนมาส่วนใหญ่มีรายได้ไม่สูง ทำให้มีกำลังซื้อต่ำ การพิจารณาเลือกบริโภคสินค้าจะคำนึงถึงราคามากกว่าคุณภาพ
- ปัญหาชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ซึ่งยังมีการสู้รบระหว่างรัฐบาลอยู่นั้นอาจส่งผลต่อความปลอดภัยตามแนวชายแดนได้
โอกาส (Opportunities)
-
รัฐบาลเมียนมามีนโยบายเปิดประเทศ
มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและเปิดเสรีด้านการลงทุน
ทำให้หลายประเทศสนใจเข้ามาทำการค้าและลงทุนเพิ่มมากขึ้น
-
จากความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐบาลของไทยกับเมียนมา
รวมถึงกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของอาเซียน
และการที่มีเขตชายแดนติดต่อกัน
ส่งผลให้ไทยมีความได้เปรียบในโอกาสการลงทุนและการค้าชายแดนกับเมียนมา
-
เมียนมามีประชากรจำนวนมาก
จึงเป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค
อีกทั้งชาวเมียนมายังมีความเชื่อมั่นในสินค้าไทยทั้งด้านราคาและคุณภาพ
-
เมียนมาอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ประกอบกับเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทำให้มีความต้องการสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์
รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกเป็นจำนวนมาก
-
ยังมีการแข่งขันสำหรับการลงทุนจากประเทศตะวันตกไม่มากนักจึงยังเป็นโอกาสของ
ไทยในการเข้าลงทุนและครองตลาดภายในเมียนมา
อีกทั้งการขนส่งสินค้าจากไทยไปเมียนมายังมีต้นทุนต่ำกว่าประเทศคู่แข่งด้วย
-
เมียนมามีแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทั้งด้านความสวยงามของภูมิศาสตร์
และความน่าสนใจของวัฒนธรรม
จึงเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวและการบริการ
อุปสรรค (Threats)
-
ระบบราชการมีการทุจริตคอรัปชั่นสูงและยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง
กฎระเบียบทางการค้ามีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
การปฏิบัติงานของหน่วยราชการมีความล่าช้า
ขาดการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานราชการด้วยกันเอง
-
เมียนมายังขาดระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้อง
ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพและความทันสมัย
ทำให้ขาดข้อมูลด้านการตลาดและการเงินซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการตัดสินใจ
และอาจเกิดความผิดพลาดในการวางแผนลงทุนได้
- มีการแข่งขันสูงสำหรับสินค้าจากจีนและอินเดียซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับเมียนมา
- ยังคงมีมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การจำกัดปริมาณนำเข้าสินค้า เป็นต้น
โดย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น