ใครที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนย่อมทราบว่า วันที่ 31 ธันวาคม
2558 ที่ผ่านมา เป็นวันที่เข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการ
สำหรับไทยถือว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับประชาคมอาเซียนค่อนข้างมาก
(เมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น สิงคโปร์)
สังเกตได้จากการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในหน่วยงานต่าง ๆ
ของภาครัฐทั้งในรูปของเอกสารสิ่งพิมพ์ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ การจัดเสวนา
สัมมนา อภิปราย ที่มีให้เห็นอยู่ในทุกหน่วยงานในช่วงปีที่ผ่านมา
ในโรงเรียนต่าง ๆ
มีการจัดห้องสมุดหรือมุมเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
มีการประดับธงชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน มีสื่อการสอนเกี่ยวกับอาเซียน
มีการจัดบอร์ดต่าง ๆ เช่น บอร์ดแสดงคำทักทายของชาวอาเซียน
มีการจัดนิทรรศการเครื่องแต่งกายประจำชาติ ฯลฯ
ทางสำนักพิมพ์เอกชนต่างก็ผลิตหนังสือเกี่ยวอาเซียนออกมาจำหน่ายกันอย่างคึกคัก
ทั้งด้านที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม นอกจากนี้
สื่อสิงพิมพ์รายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์
และหนังสือพิมพ์รายวันต่างเปิดคอลัมน์เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนกันทั่วหน้า
และในสื่อออนไลน์ก็จะเห็นเว็บไซต์เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนจำนวนไม่น้อย
ทั้ง
หมดที่กล่าวมาย่อมยืนยันได้ดีว่า ไทยเอาจริงเอาจังกับเรื่องของ
"การเตรียมความพร้อม” ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างมาก
โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic
Community: AEC) ที่เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประชาคมอาเซียน จากบรรยากาศการ
"เตรียมความพร้อม” เป็นอย่างมากนี้
ทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ
เกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจากแหล่งต่าง ๆ มากมาย
และมีหลายคนที่นำไปอธิบายขยายความทั้งที่เป็นการเขียนการพูดต่อ ๆ กัน
จนในที่สุดทำให้บางคนเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป เช่น
1.
มีคนเข้าใจว่า
เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้วประเทศไทยจะมีการเปิดเสรีด้านการค้ามาก
ขึ้น จะมีการลดอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าและบริการต่าง ๆ
ทำให้สินค้าจากต่างชาติเข้ามาแข่งขันกับสินค้าในประเทศเป็นอย่างมาก
2.
มีคนเข้าใจว่า เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว
จะมีแรงงานจากต่างชาติเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยในทุกสาขาอาชีพ
เนื่องจากจุดอ่อนของแรงงานไทยคือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
3.
มีคนเข้าใจว่า เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว
จะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ มากมาย
ถ้านักลงทุนไทยสู้ไม่ได้กิจการต่าง ๆ ก็จะเป็นของชาวต่างชาติ
นอกจากความคลาดเคลื่อนด้านเนื้อหาดังตัวอย่างข้างต้น
ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนด้านเวลาด้วยว่า
ทุกอย่างที่กล่าวไปนั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า...จริงๆ แล้ว
- การลดภาษีทางการค้าระหว่างกันในประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานาน
มากแล้ว เขาทำความตกลงกันมาตั้งแต่ ปี 2535 ในยุคของเขตการค้าเสรีอาเซียน
(AFTA) ซึ่งมีกลไกของข้อตกลงระบบสิทธิพิเศษทางภาษีที่เท่ากันของอาเซียน
(Common Effective Preferential Tariff: CEPT)
เป็นตัวกำหนดระยะเวลาและอัตราภาษีที่ต้องลดให้แก่กัน
ใน
ส่วนของไทยได้เริ่มลดอัตราภาษีมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546
ทั้งรายการสินค้าลดภาษีปกติ(Inclusion List) รายการสินค้าอ่อนไหว
(Sensitive List: SL) และรายการสินค้าอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive List:
HSL) และดำเนินการตามข้อตกลงไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2553 หรือเมื่อ 5
ปีมาแล้ว หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2558
จึงไม่มีความจำเป็นต้องลดอัตราภาษีสินค้าใด ๆ ต่อไปอีก
- การเปิดเสรีด้านแรงงานที่ว่า จะมีแรงงานต่างด้าวมาแย่งอาชีพต่าง ๆ
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลมากนัก
เนื่องจากตามข้อตกลงยอมรับร่วมในเรื่องคุณสมบัติของนักวิชาชีพอาเซียน
(Mutual Recognition Arrangements: MRAs)
เกี่ยวกับการโยกย้ายแรงงานระหว่างประเทศ
ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงทุกสาขาอาชีพแต่เป็นเฉพาะสาขาที่ตกลงกันไว้ได้แก่
วิชาชีพวิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ บัญชี แพทย์ ทันตแพทย์
และท่องเที่ยว
ซึ่งถ้าไปดูรายละเอียดในข้อตกลงยอมรับร่วมฯ ดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ที่แต่ละวิชาชีพที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย เช่น
แพทย์จากต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทยต้องสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทย
และต้องสอบใบอนุญาตเหมือนกับแพทย์ไทยทุกประการ
- ในด้านการลงทุนก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในวันที่
31 ธันวาคม 2558 แล้วแต่ละประเทศจะเข้าไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในกิจการใด ๆ
ก็ได้ เนื่องจากความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ASEAN Comprehensive
Investment Agreement: ACIA) ที่เกิดจากการนำความตกลงเขตการลงทุนอาเซียน
(ASEAN Investment Agreement: AIA)
มาผนวกกับความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ASEAN Investment Guarantee
Agreement: IGA) ซึ่งลงนามกันไปตั้งแต่ พ.ศ. 2552
ประกอบด้วยการเปิดเสรีการลงทุน การให้ความคุ้มครองการลงทุน
การส่งเสริมการลงทุน
และการอำนวยความสะดวกในการลงทุนนั้นในส่วนของการเปิดเสรีการลงทุนแต่ละ
ประเทศสามารถมีข้อสงวนและตั้งเงื่อนไขในสาขาที่ยังไม่มีความพร้อมได้
เช่น
ไทยมีข้อสงวนคือห้ามต่างชาติเข้ามาประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น การสกัดสมุนไพร
การทำนา ทำไร่ ทำสวน การเลี้ยงสัตว์
รวมถึงข้อสงวนเกี่ยวกับประกอบกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรี เช่น
การเลี้ยงไหม การทำนาเกลือ
การที่มีบางคนวิตกกังวลว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาแย่งงานคนไทยทุกระดับไป
จนถึงชาวไร่ ชาวนา ก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตามที่หลายคนเข้าใจรวมถึงข้อกังวลต่าง ๆ
ก็จะไม่มีความรุนแรงอย่างที่หลายคนคิด
ไม่ได้หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ข้อเขียนนี้เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่ายังมีบางความเข้าใจที่ยังผิดพลาด
คลาดเคลื่อนอยู่ในบางประเด็นเท่านั้น
ประชาคม
เศรษฐกิจอาเซียนยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างไม่สามารถหลีก
เลี่ยงได้ ไม่ว่าจะในฐานะที่เป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ฯลฯ
และเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนยังคงต้องให้ความสนใจ ติดตามกันต่อไป
บทความโดย คุณสันติพจน์ กลับดี
ส่วนอาเซียน สำนักการประชาสัมพันธ์ต่างประเทศ
กรมประชาสัมพันธ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น